วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บั้งไฟ พญานาค เท็จ จริงแค่ไหน

                         เมื่อเทศกาลออกพรรษา สิ่งหนึ่งที่จะเข้ามาในความคิดของคนไทยหลายคน ต้องให้คิดถึง เรื่องราว ของบั้งไฟ พญานาค หรือ ป้องไฟ พญานาค อีกหนึ่งไฮไลน์ ของการท่องเที่ยวของจังหวัดหนองคาย ที่ผู้คนหลั่งไหลจาทั่วสารทิศ เพื่อที่จะไปแห่ดู ปารกฏการณ์ครั้งนี้ 
ทำให้หอ้งพักผุดขึ้นมามากมาย ทั้งกางเต้นส์ โรงแรม รถติดเป็นทางยาวหลาย 10 กิโลเมตร เมื่อวันก่อนก็ได้มีรายการของคุณสรยุทธ มิลินทจินดา ได้เชิญนักวิชาการ และผู้ที่เห็ฯต่างเข้ามาถกเถียงกันเรื่องนี้ อยู่ถึง 2 วัน ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เรื่องนี้ก็ยังเป็ฯความลับของธรรมชาติ ที่ทำให้เรานั้นได้สงสัยกันต่อไป ด้วยความเชื่อตั้งแต่ก่อนเก่าของคนเก่าแก่ที่อยู่แถวนั้น มาหลายชั่วอายุคนนั้น ก็เรียกว่า บั้งไฟผี เป็นการเห็นของผู้แก่ ผู้เฒ่าที่เล่บอกต่อกันมา แต่เมื่อมีการปรากฎขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ความสงสัยคือธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องการจะเห็นด้วยตาของตัวเอง จึงทำให้เมืองหนองคายได้ตั้งเป็นคำขวัญกันเลยทีเดียว การท่องเที่ยวคึกคักในเพียง 3 วัน ของวันออกพรรษานี่เอง การทำมาหากินของชาวบ้านก็ได้เพียง 3 วัน แต่จะมีการจอง สำรองที่พักกอ่นหน้านั้น เป็นเดือนๆ เลยทีเดียว คำบอกเล่าของคนทีไปดูนั้น บรรยากาศที่เห็นก็จะเป็น เมื่อมีลำแสงขึ้น ก็จะพากันโห่ เป็นระยะๆ บางคนก็บอกว่าจุดมาจากฝั่งลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่บางคนก็บอกว่า ผุดขึ้นมาจากใต้น้ำเอง ก็เป็นการถกเถียงกันไป แล้วแต่ตาใครตามัน 
                        เมื่อมีคนดูมาก เป็นข่าวมาก การถกเถียงกันก็มีมาก โดยเมื่อก่อนก็มีการเถียงกันโดยความเชื่อของคนเก่าก็บอกว่าเป็นพญานาคที่เป็นความเชื่อของคนอีสานว่ามีจริง และอาศัยอยู่ใต้เมืองบาดาล ใต้แม่น้ำโขง ซึ่งวันออกพรรษาก็จะออกมาพ่นไฟขึ้นมาเพื่อเป็นการ นมัสการพระพุทธเจ้านั่นเอง วันนั้นได้นั่งดูเขาเถียงกัน อีกฝ่ายก็บอกว่า ในเมื่อพญานาคมีจริงและเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ แล้วทำไมไม่ออกมาผารกฏตัวเลยว่ามีอยู่จริง ทำไมต้องคอยไปไต่ตามบ้าน รถ พื้น และทิ้งรอยเอาไว้ ให้คนเดาว่าเป็นรอยพญานาค บ้าง อีกฝ่ายก็บอกว่าท่นเป็นเทพ ไม่ปรากฎตัวให้เห็นกันง่ายๆแต่หลายคนหลายครั้ง วันดีคืนดี เมื่อก่อนก็จะออกมามีการบวงสรวงพญานาคด้วยก็มีมาก และก็เป็นควมเชื่อที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็เป็นเรื่องที่ดี การเล่ามามากมายทำให้เป็ฯตำนาน และเป็นการส่งเสริให้คนนั้นทำดี ในยุคนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย หลายท่านก็อาจจะเคยเห็นคนทรงเจ้าที่เข้าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำโขงอยู่มากมาย ไม่รู้จบ   มีทั้งศาลเจ้าแม่สองนางสภิตย์ ที่มีตำนานน่าฟังอยู่ไม่น้อยในเรื่องของความกตัญญู ที่จนหลายที่ต้องมีศาลติดแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเทพที่ปกป้องแม่น้ำโขงอยู่เหมือนกัน ที่คนให้ความเคารพนับถือ เพราะตำนานเล่าว่า มีสองพ่อน้องหนีศึกสงครามหรืออะไรสักอย่าง ซึ่งท่านก็เป็นลูกเจ้า ลูกนายหนีข้ามน้ำมา แล้วก็ได้จมน้ำโขงเสียชีวิต คนที่เคารพนับถือเมื่อก่อนก็สร้างศาล เอาไว้ให้ ต่อมาก็ฒีชาวบ้านไปบนบาน ศาลกล่าว ก็ได้ผล ก็เลยเคารพนับถือกันสืบมา เรื่องอีกเรื่องของประเทศลาวที่เป้นการบอกต่อกันมาเหมือนกันว่า เมื่อก่อนนั้น ประเทศไทยกับประะเทศลาวนั้น เป็นเสมือนพี่น้องกัน แล้วก็ร่วมรบกันชนะ แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ บาดฆ้องหมองใจกัน ทำให้เจ้าลาวในสมัยนั้น ได้ทิ้งดาบลงในกลางแม่น้ำโขง แล้วสาบแช่งเอาไว้ว่า ตราบใดที่ดาบเล่มนี้ ไม่ละลายหายไป เมืองไทยก็อย่าหาได้สงบเลย สิ่งนี้ก็เป็นความเชื่อที่
เล่าต่อกันมา แต่ก็เพียงในหมู่คนไม่มากของประเทศลาวนั่นเอง ซึ่งคนไทยก็น้อยคนที่จะได้ยิน 
                      เมื่อวันออกพรรษา อะไรดีๆก็เกิดขึ้นมากมาย ประเพณีการทำบุญ ก็จะช่วยทำให้เกิดความสามัคคี ขึ้นมากมาย  การทอดกฐิน ก็จะเริ่มขึ้นด้วย และก็เป็นการเริ่มของบั้งไฟพญานาค ที่หลายคนรอคอยและต้องการที่จะเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง การที่มีคนถกเถียงกันมากนี้ แต่ก็ยังไม่มีบทสรุบที่แน่นอน แต่เมื่อก่อนนั้น ผู้เขียนก็ได้พอที่จะเรียนรู้เรื่องราวมาบ้าง โดยความเชื่อฝ่ายนึง ก็บอกว่ามีการไปจุดบั้งไฟจากใต้น้ำ  อีกฝ่ายก็บอกว่ามีใครที่ไหนที่สามารถไปจุดไฟใต้น้ำได้ แล้วก็มาบอกว่า เอาเรืออกไปจุดกลางน้ำบ้าง ซึ่งเหตุผลของคนก็ต่างกันไป เพราะอีกฝ่ายก็บอกว่าเห็นกับตาตัวเองว่าผุดขึ้นมาจากน้ำจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อก่อนนั้น หรือทุกวันนี้ หลายฝ่ายก็อยากที่จะพิสูจญ์ ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะก่อนน้น ก็เคยมีชาวต่างชาติ คือฝรั่งก็ต้องการที่จะพิสูจญ์ ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ต้องใช้ทุนเพราะว่าอุปกาณ์นั้นมีราคาแพง และให้ลาวนั้น อณุญาตให้ใช้น่านน้ำได้ เพราะว่าเป็นสัญญาที่เมื่อก่อนฝรั่งเศสได้ตั้งกฏเอาไว้ว่า กลางวันน้ำโขงให้ใช้รวมกันระหว่างไทย กับลาว แต่หลังจากเวลา 18.00 น. แม่น้ำโขงจนถึงฝั่งไทย ให้เป็นสิทธิการครอบครองของลาว แต่ประเทศลาวนั้น ก็ไม่อณุญาติให้มีการพิสูจณ์ แต่มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องที่ อาหารเสริมลดน้ำหนัก  จะนำมาเสนอก็คือ การที่มีไฟผุดขึ้นมาจากน้ำรึว่าจากดินนั้น เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่ากาซฮีเลียม ซึ่งจะทำปฎิกิริยาคือการเสียดสีกับอากาศ เป็นลำแสงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้านั่นเอง กาซฮีเลียมนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงประเทศไทย แต่ยังเกิดขึ้นหลายที่ ซึ่งประเทศซาอุฯ ก็เกิดขึ้นมาเหมือนกัน
แต่เกิดบนทะเลทราย ซึ่งนักวิจัยก็บอกว่า ตรงที่เกิดนั้น มักจะมีการทับถมของซากศัตย์ดึกดำบรรพ์ อยู่ใต้พื้นนั้น และส่วนมากนั้นก็จะมีแหล่งพลังงานธรรมชาต เช่นกาซและน้ำมัน และการที่ผุดขึ้นมาในวันเพ็ญมากสุด ก็เพราะว่าเป็นวันที่พระจันทร์ โคจรเข้ามาใกล้โลกที่สุด แรงดึงดูดของดวงจันทร์ ก็จะดูดพลังงานเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะบนพื้นก็มี เพราะซาอุฯ เกิดบนทะเลทราย แต่เป็นความจริงที่จะเกิดเองโดยธรรมชาติ เป็นอีกเหตผลที่น่าฟังมาก แต่ความเชื่อข้อถกเถียงก็ยังเกิดขึ้นมาไม่มีหยุดอย่างแน่นอน ตราบใดที่ยังไม่มีการพิสูจญ์เรื่องจริงออกมา แต่บนความเชื่อทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองนี้ ที่ไม่ทำให้คนเดือดร้อนก็อย่าไปเถียงกันให้เป็นประเด็นจะดีกว่า เพราะเป็นไปในทางที่ดีและสร้างสรรค์ และเป็นความสุขที่ได้เชื่อ อย่าไปทำลายความเชื่อที่มีแต่จะทำให้บาดหมางกันไปเลยจะดีกว่า ความเชื่อในความดี มีอยู่แท้ แน่นอน  ตราบใดที่ยังพิสูจณ์ ไม่ได้ก็ปล่อยให้ศรัทธา ที่ดี ยังอยู่ต่อไป เพื่อเป็นความสุข ของปวงชน จะดีกว่ามั๊ย
เพราะจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ผู้คนได้ทำมาหากิน และเป็นสิ่งที่รอคำตอบกันต่อไป