วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ้มบุญ ควรหรือไม่ควร

             ในความเป็นจริงของสังคสแล้วก็มี นักวิชาการออกมาบอกอยู่บ่อยๆ ว่า อีกไม่นานประชากรโลกนั้น ก็จะล้นโลก แต่ก็มีปู้ที่ร่างกายนั้น ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถที่จะมีบุตรได้ จึงต้องการที่จะมีทายาทไว้สืบสกุล ซึ่งก็เป็นความคิดของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนนั้น ก็คิดว่า จะต้องมีลูกไว้มากๆ
ส่วนบางตนนั้น ก็อยากจะมีไว้เพียง คน สองคน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้  ซึ่งโดยส่วนมากนั้น ก็จะเป็นในโซนเอเชียเป็นส่วนมากที่อยากจะมีลูกมาก หรือลางประเทศนั้น ก็อาจจะเกิดจากการที่ไม่เข้าใจ เรื่องของการควบคุม หรือที่เรียกว่า การคุมประชากร เพราะด้วยคำที่ว่า มีลูกมาก ยากจน นั้น ก็มักจะไม่ได้ใช้กับ ผู้ที่ส่วนมากนั้น มีอันจะกิน แต่ด้วยที่ว่า ผู้มีอันจะกินนั้น ทำงานที่หนักมากว่าคนอื่น ร่างกางกายนั้น จึงอ่อนแอ ไม่มสามารภถมีบุตรได้ตามธรรมชาติ ต้องทานอาหารเสริม อาหารเสริมลดน้ำหนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเข้ามาดูอีกหลายปัจจัย อย่างที่เกิดที่ประเทศไทยเป็นข่าวใหญ่โตนั้นก็เป็นที่มาของ การรับจ้างอุ้มบุญ
              กับข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่ ชลบุรี เมื่อนางสาว ภัทรมน จันทร์บัว ได้ให้กำเนิดบุตรฝาแฝด ที่มาจากการอุ้มบุญ กรณีนี้เป็นข่าวก็ สืบมาจากการที่ เมื่อพ่อแม่ที่เป็นเจ้าของสเปิร์ม ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ชาวออสเตรเรีย ได้ว่าจ้างผ่านเอเจนซี่  ซึ่งเป็นคนไทย ให้หาคุณแม่อุ้มบุญ และได้
ว่าจ้างนางสาว ภัทรมน เป็นเงินจำนวน 3 แสนห้าหมื่น บาท ( การอุ้มบุญวิธีนี้ ทำโดยการเอาน้ำเชื้อ ที่ผสมแล้วของผู้เป็น บิดา และมารดา นำเข้าไปฝังไว้ในมดลูกของคนอื่น เป็นเวลาจนกว่าจะคลอด ) แต่ว่าเมื่อมีการรับอุ้มบุญแล้วก็เกิดได้ลูกแฝด ที่ครั้นได้อัลตร้าซาวด์ แล้วพบว่าเด็กผู้หญิงนั้น เป็นโรคดาวน์ซินโดมแล้วผู้ว่าจ้างนั้น ก็ไม่ต้องการเด็กที่ไม่สมประกอบ จึงให้ทางแม่อุ้มบุญนั้นเอาเด็กออก แต่ด้วยความที่ผูกพันธ์ กับการที่อุ้มท้องมานาน จึงไม่ยอมที่จะเอาออก โดยทางผู้เป็นแม่อุ้มบุญนั้นก็ขอค่าเลื้ยงดูเพิ่ม จากพ่อ แม่ผู้จ้าง ครั้นเมื่อเป็นข่าวออกมาแล้วก็เป็นที่ฮือฮาว่า ประเทศไทยนั้น ยังมีแบบนี้อยู่อีกมากมาย ซึ่งจากการที่คุุณแม่อุ้มบุญได้มาออกข่าวแบบนี้ ก็ทำให้กระแสสังคมตื่นตัวกันมากขึ้น โดยที่จะยืนยันว่าจะเลี้ยงดู ลูกถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กไม่สมประกอบก็ตามที ด้วยความรัก เพราะว่าเป็นเหมือนลูกของตัวเอง และก็มีผู้ใจบุญได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือไปบางส่วน  ซึ่งหลังจากข่าวนี้ออกมาไม่นาน ก็ได้มี
การเจอเด็กอุ้มบุญที่ เช่าคอนโดหรู เพื่อเลี้ยงเด็กอุ้มบุญ อีก 9 คน ซึ่งจากการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ก็ได้ทราบพอคร่าวๆว่า มีนักธุรกิจ หนุ่มชาวญี่ปุ่น มาจ้างให้คนไทยนั้นอุ้มบุญให้ และเป็นคนที่รักเด็ก อยากจะมีลูก เยอะๆ โดยที่เอากลับไปญี่ปุ่นแล้ว 2 คน โดยเด็กที่เอาไปนั้น จะได้รับการดูแล
เป็นอย่างดี ซึ่งทางการยังสืบต่อไปว่า นี่เ็นการเข้าข่ายการค้ามนุษย์ หรือไม่ หรือว่าพ่อ ชาวญี่ปุ่นนั้น อาจจะเป็นชื่อที่บังเอิญไปคล้องจองกับ ลูกมหาเศรษฐี ทั้งนี้ การที่เด็กอุ้มบุญนั้น ก็ได้จ้างพี่เลี้ยงคนไทยดูแล โดยรับเงินเดือนคนละ 1 หมื่นบาท ต่อเดือน ซึ่งก็จะจ้างเป็นการดูแลคนต่อคน เลยทีเดียว
ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจได้สืบว่า พ่อชาวญี่ปุ่นนี้ เข้าออกประเทศไทย ปีนี้ประมาณ 60 ครั้ง เลยทีเดียว แต่เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว ก็ต้องมีการดำเนินคดี กับทางผู้ที่ให้การบริการจัดทำ เพราะว่าผิดกฎหมายในประเทศไทย ส่วนทางด้านผู้ที่ต้องรับผิดชอบนั้นก็จะมีทั้ง แพทย์ และสถานพยาบาล โดย สธ
กระทรวงสาธารณะสุขก็จะออกมาดูแล ถ้าเข้าข่ายผิดจริงก็จะต้องปิดและยึดใบประกอบการ ส่วนทางด้านพ่อชาวญี่ปุ่นนั้น ก็ไม่ได้มีความผิดฐานค้ามนุษย์ เพราะเป็นการเลี้ยงดูแลเด็กเป็นอย่างดี
          การอุ้มบุญนี้ สมัยก่อนยังไม่มี เพราะว่าเทคโนโลยี ทางการแพทย์ ยังไม่ทันสมัย แต่ก็มีการเขียนไว้ว่าครั้งหนึ่ง ในยุคของ ไอน์สไตน์ ได้มีผู้ญิงสาวสวยรายหนึ่ง ได้เข้ามาบอกว่าอยากร่วมหลับนอนกับเข แล้วเขาก็ถามว่า เพราะอะไร เขาบอกว่า อยากได้ลูกกับไอน์สไตน์ แล้วก็บอกว่าจะได้เป็นคนฉลาดเหมือนเขาแต่ได้รับการปฏิเสธ และได้บอกกับหญิงคนนั้น ว่าแล้วถ้าลูกที่ออกมาโง่อย่างเธอละ จะทำอย่างไร การที่คนเรานั้น มีการอุ้มบุญกันมาก แต่อีกในทางกลับกันที่เมืองไทยนั้นเห็นอยู่ มากก็จะเป็น การที่เรามักจะเห็นเด็ก เร่ร่อนขอทาน แล้วก็เด็กที่ถูกลักพาตัวไปทำมิดีมิร้ายอยู่อย่างมากในประเทศไทย
เป็นการแสดงให้เห็นอีกทางด้วยว่า วันนี้สังคมประเทศไทยนั้นทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติ เป็นส่วนใหญ่ และก็ยังมีเด็กที่ อยู่ตามสถานสงเคราะห์ ต่างๆอีกมาก ที่ยังขาดโอกาส   การทำทารุณกรรมต่อเด็กการค้ามนุษย์ ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ แต่ก็ยังมีหลายคนที่เห็นประโยชน์
เพียงเพื่อการอยู่รอด โดยไม่คิดถึงหลักธรรมะ ลักเอาเด็กมาตัดแขนขา ให้เร่ขอทาน วันไหนไม่ได้เงินก็จะโดนลงโทษ โดยอาศัยที่ว่าคนไทยนั้น เป็นคนใจบุุญสุนทาน มีน้ำใจ โดยที่คิดว่าเงินเพียงเล็กน้อย แต่โดยรวมนั้น ก็มาก ตอนนี้เราควรที่จะแยกแยะให้ออกว่าการให้นั้น เป็นการทำบุญ หรือเป็นการส่งเสริม
ให้คนเหล่านี้ กระทำผิดอีกต่อไป โดยที่เจ้าหน้าที่นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย เพียงแต่ว่าเมื่อด้วยกฏหมายแล้วไม่มีเจ้าทุกข์ ก็ขังได้ไม่นาน แล้วก็ขับออกกลับประเทศไป แต่สักพักก็จะแฝงตัวเข้ามาอีก จนมากกว่าที่จะจัดการ ฝากให้เรานั้น ควรคิดสักนิดก่อนที่จะให้กันนะคะ   เพราะสังคมที่มีคำว่า ศีลธรรม อยู่ด้วย