ศาสตร์ การนวดแผนไทย เป็นการนวดที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล เป็นการนวดเพื่อรักษาโรค แต่ในปัจจุบัน ด้วยนวัตกรรมทางยา ก้หันมาเป็นการนวดเพื่อการผ่อนครายเสียมากกว่า และเป็นส่วนหนึ่งในการบรรจุลงในการแพทย์แผนไทย ซึ่งจะเน้นการกด บีบ ดึง ดัด การอบ และประคบ ซึ่งในปัจจุบัน
ก็จะเห็นกันอยู่ทั้วไป เป็น นวดแผนโบราณ โดยได้รับวัฒนธรรมมาจากประเทศอินเดีย และได้ถูกพัฒนาดัดแปลง ให้เข้ากับแบบไทยไทย จนมาเป็นรูปแบบของประเทศไทยในปัจจุบัน การนวดแบ่งเป็น 2 สาย ในสมัยก่อน 1 การนวดสายราชสำนัก 2 การนวดสายเชลยศักดิ์ การนวดที่แบ่งตามสายนี้ก็ว่ากันว่า
1 การนวดสายราชสำนัก เป็นการนวด ให้กับเจ้านาย ชั้นผู้ใหญ่ มีตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ในรั้วในวัง ดังนั้นจึงเป็นการนวด เน้นมือ และนิ้วมือ เท่านั้น และท่วงท่าที่สุภาพเรียบร้อยเท่านั้น และผู้ที่ทำงานในรั้วในวัง ก็จะมียศมีตำแหน่งพร้อมทั้งเงินเดือนด้วย 2 การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดแบบทั้วไปไม่มีพิธีรีตอง และหมอนวดยังสามารถใช้อวัยวะส่วนต่างๆ นวดได้ แต่ก็ยังมีการที่คนบางส่วนที่ถือ ก็ไม่ให้ใช้เท้าเหยียบ และไม่ให้ผู้หญิงที่เป็นประจำเดือน นวด เพราะถือว่าจะทำให้ของเสื่อม ( เป็นความเชื่อเรื่องเวทมนต์ และไสยศาสคร์ ) การนวดมีหลักฐานทางประวัติศสาตร์ ว่ามีการพบ หลักศิลาจารึก ที่ขุดพบในป่ามะม่วงเป็นหลักศิลาจารึก สมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งก็มีการบันทุึกว่า มีมานานตุ้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ริเริ่ม คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอประจำตัวของพระเจ้าพิมพิสารและพระพุทธเจ้า ท่านเป็นหมอที่มีความสามารถหาที่เปรียบไม่ได้ หละหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตลง ก็ได้มีลูกศิษย์ลูกหาเผยแพร่ไปทั่วโลกจนถึงประเทศไทย และสมัยพระนารายณ์มหาราช มีจดหมายเหตุของราชทูตฝรั่งเศสได้กล่าวไว้ว่า ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำเส้นสายยืด โดยให้ผู้ชำนาญในทางนี้ขึ้นไปข้างบนโดยใช้เท้าเหยียบ ก็ได้กล่าวกันว่า หญิงมีครรภ์ ถ้าอยากคลอดง่ายก็ให้เด็กเหยียบ ( วิธีนี้ถึงปัจจุบัน ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะว่าอันตรายเกินไป ) จากการที่ประเทศไทยนั้น ได้เสียกรุงให้พม่าถึง 2 ครั้ง แล้วตำราการนวดนั้น ก็ได้ถูกทำลายเสียหายไปมาก และเมื่อถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ได้ย้ายราชธานีจาก กรุงธนบุรี มากรุงเทพฯ ทรงให้ปฏิสังขรณ์ ขึ้นมาเป็นอารามหลวง ได้รวบรวมตำรายาตำรานวด ให้แสดงตามศาลารายให้ประชาชนได้ศึกษาโดยทั่วกัน และได้ทรงโปรดให้ปั้น ฤาษี ดัดตน ไว้ ๘0 ท่า ( โดยที่ปัจจุบันเวลาที่คนเข้าไปนวดมักจะบอกว่ามาจากวัดโพธิ์นั่นเอง ) และต่อมารัชกาลที่ ๗ ได้แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็น แผนโบราณ และ แผนปัจจุบัน แบ่งแผนโบราณเป็น ๔ สาขาได้แก่ ๑ สาขาเวชกรรมแผนโบราณ ๒ สาขาเภสัชกรรมแผนโบราณ ๓ สาขาผดุงครรภ์แผนโบราณ ๔ สาขานวดแผนโบราณ และ พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้ตัดการนวดแผนไทยออกไป และบรจุเข้าใหม่ ใน พ. ศ. ๒๕๔๔ ได้บรรจุเข้าไปในสาขาแผนไทยอีก และได้ทำการพัฒนาไปให้คนตาบอดได้เรียนรู้ในศาสตร์แขนงนี้และนำไปประกอบอาชีพ ที่ทำรายได้ดี
การนวดมี ๒ ประเภท ได้แก่ การนวดเพื่อสุขภาพ และการนวดเพื่อบำบัดโรค กล่าวถึงการนวดเพื่อสุขภาพนั้น ก็เป็นการนวดเพื่อการครายเครียด โดยที่ผู้ต้องการนวดนั้นไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่เพียงอยากที่จะผ่อนคราย และปวดเมื่อยบ้างเท่านั้นเอง และก็จะทำให้รู้สึกได้ว่า ลดความตึงเครียดลงได้ ทั้งกายและใจ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเป่า อีกด้วย มาถึงการนวดเพื่อบำบัดโรค เป็นการนวดที่รักษาโรคที่ไม่รุนแรงนัก อย่างเช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อย เป็นต้น ผู้ที่จะนำการนวดไปใช้ประโยชน์ ต้องเรียนรู้และต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะว่าเป็นศาสตร์ ที่มีความละเอียดอ่อน โดยเตรียมตัวดังนี้ ๑ ความรู้ด้านการแพทย์ - เป็นความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์ คือการเรียนรู้ว่า อวัยวะในร่างกายประกอบด้วยอะไรบ้าง และอยู่ในตำแหน่งใดบ้าง ซึ่งต้องเรียนรู้ ทั้ง ระบบกล้ามเนื้อกระดูก ประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ( เลือด ) น้ำเหลือง ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบหายใจ รวมไปถึงอวัยวะสืบพันธ์ ถ้ารู้เราจะได้ระวังได้ว่าตรงไหนสำคัญมากน้อย และอันตรายอย่างไร นวดได้แรง หนักเบา เท่าไหร่ - เรียนรู้ด้านสรีรวิทยา ต้องรู้ว่า ระบบในร่างกายนั้น ทำหน้าที่และสัมพันธ์ และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง นวดแล้วมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง - เรียนรู้ทางด้านโรคภัยไข้เจ็บ คนเรานั้นจะมีพยาธิไม่เหมือนกันและเราจะได้รู้ว่าเป็นโรค นี้จะควรนวดหรือไม่ นวดแล้วหายหรือไม่ คือเป็นโรคอะไรมาแล้วนวดได้หรือไม่ ก็เหมือนที่หมอวิเคราะห์โรคนั่นเอง ๒ เรียนรู้ทางด้านการนวด ทั้งทฤษฎี ปฎิบัติ และเทคนิคทางวิชาการ - ตั้งแต่ ท่านวด ว่าเหมาะสมแค่ไหน - การวางมือ ควรวางมืออย่างไร ไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ผลจะออกมาต่างกัน - ตำแหน่งที่นวด - แรงที่ใช้ เพราะว่าบางคนที่ชอบหนักเบ แต่อยู่ที่ผู้นวดที่จะออกแรงตรงจุดใดมากกว่า น้อยกว่า -เวลาที่ใช้ หลายคนนั้น ก็จะใช้เวลาที่ไม่เท่ากัน แต่ที่มียริการอยู่ในปัจจุบัน ก็อยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ้่ง ๓ ทางด้านร่างกาย ผู้นวดต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าการนวดเป็นการใช้แรงมาก ถ้าไม่แข็งแรงก็จะนวดไม่ได้นั่นเอง และต้องดูแล สุขภาพให้ดีด้วย และมีการออกกำลังกายอย่างเสมอ และฝึกออกกำลังกายนิ้วด้วย
สิ่งที่ได้รับของการนวด ได้แก่ การช่วยผ่อนคราย อารมณ์ จิตใจ ร่างกาย ช่วยให้เลือดลมไหลดี ผิวพรรณผ่องใส เปล่งปลั่ง กระตุ้นการทำงานระบบประสาท ลดอาการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายจิตใจ เกิดความสมดุล และเชื่อกันว่ามีส่วนช่วยในการรักษา อาการปวดศรีษะ ไมเกรน ปวดข้อ ปวดกระดูกด้วย เหมือนกับ อาหารเสริมลดน้ำหนัก ที่มีสรรพคุณที่บำรุงร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้มีการพัฒนาเครื่องนวด ที่สามารถที่จะนวดได้ โดยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสนนราคานั้นก็หลายๆหมื่นจนถึงหลายแสนเลยทีเดียว โดยส่วนมากและผลิตที่ต่างประเทศ และนำเข้ามาขายที่ประเทศทไทย การนวดก็ได้มีหลายรูปแบบ ทั้งการนวดด้วยการประคบ สมุนไพร และด้วยการนวดแบบจับเส้น จนปัจจุบันนี้ มีการนวดที่เรียกว่า การจักกระดูก ซึ่งหลายคนนั้น ก็บอกว่า การนวดแบบจัดกระดูกนั้นดี แต่ว่า ทางการแพทย์ นั้นยังไม่ได้รับรอง นะคะ การนวดที่มีอยู่ตามบ้านเรานั้น ก็มีการพัฒนาไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนวดน้ำมัน นวดอโรมา เป็นการนวดเพื่อการผ่อนคราย เป็นการนวดที่สร้างชื่อให้กับคนไทย และเป็นที่ประทับใจทั้งชาวต่างชาติและคนไทยเอง แต่ราคาก็จะออกจะสูงกว่าการนวดแบบธรรมดา ทุกวันนี้ร้านนวดแผนโบราณนั้น มีอยู่มากมายก็เป็นการส่งเสริม ให้ประชาชน มีอาชีพและรายได้ และได้ขยายไปยังต่างประเทศ ก็มากมาย การนวดที่ประเทศไทยนั้น ราคาก็อยู่ประมาณ ชั่วโมงละ 250 บาท ถึง 300 บาท ต่อ 2 ชั่วโมง แต่ก็เป็นราคาที่ประเทศไทย แต่ถ้าอยู่ต่างประเทศ เราก็ต้องคิดไปเลยว่าเพิ่มอีก หลายเท่า เวลาที่เรานั้น ถ้ารู้สึกว่าเจ็บก็ควรที่จะบอก หมอนวด ให้เบามือ อย่าไปฝืน เพราะจะเกิดการบาดเจ็บได้ นะคะ และที่เขาให้ดื่มน้ำชา อุ่นๆ กกอ่นและหหลังการนวดนั้น ก็เพราะว่าเป็นการ ผ่อนครายนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันมีหมอนวดอยู่มากมาย แต่ที่เขาบอกว่าถ้าจะให้นวดดี ต้องเลือกหมอที่มีอายุ หน่อย เพราะว่าแก่วิชา จับเส้น กษัยได้ดีกว่านั่นเอง ทว่าคนที่ชอบนวดแบบเบาๆ ก็ต้องบอกหมอนวดก่อนนะคะ การนวดที่เห็นอยู่มากมายนั้น ส่วนมากจะเป็นการนวดเพื่อผ่อนคราย แต่ก็ัยงมีการนวดจับเส้น ที่เป็นการนวดที่เน้นการจับเส้นเอ็น ตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่การนวดแบบนี้จะทำให้เจ็บ และระบม มาก แต่ก็จะหายจากการปวดเมื่อยได้นาน อีกแบบก็จะเป็นการจัดกระดูก ก็จะเป็นการที่ทำให้กระดูกนั้นเข้าที่ เพราะกระดูกจะลั่นไปตามที่หมอนวดดัด ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน แต่ต้องระวังเพราะ ต้องหาผู้ที่เชี่ยวชาญ เพราะว่าถ้าทำไม่ถูกวิธี
อาจจะบาดเจ็บ รุนแรง หรือบางครั้ง เส้นเคล็ดได้คะ ส่วนอีกแบบที่เรียกว่าการนวดด้วยการประคบ นั้นก็จะเป็นการห่อสมุนไพรด้วยผ้าขาวบาง แล้วก็นำมาประคบตามจุดที่จะนวด แต่วิธีนี้ ต้องทนร้อนด้วยนะคะ ห่วงใยดูแล คุณนะคะ ขอบคุณคะ ถ้าจะทำเป็นอาชีพก็ไม่ว่ากัน เพราะว่าตามสถานที่ท่ิงเที่ยว ไม่ว่าตามชายทะเลก็มีการบริการ โดยชาวต่างชาตินั้น นิยมมากเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น