แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สั่งย้ายด่วย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สั่งย้ายด่วย แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ข่าวใหญ่ วงการสีกากี นายกใช้ ม.44 ย้ายข้าราชการ ระดับใหญ่ สะสางหลายปม

         ตกเป็นข่าวใหญ่ วงการข้าราชการใหญ่ของไทย หลังจากที่นางออง ซานซูจี เยี่ยมประเทศไทย ซึ่งการย้ายครั้งนี้ ก็มีทั้งผู้ว่าราชการและนายตำรวจและข้าราชการระดับใหญ่ ที่ถูกร้องเรียนประพฤติมิชอบ เพื่อรอการตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งก็มีด้วยกันดังนี้
1.1 นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดหระทรวง ในกระทรวงมหาดไทย
1.2 นายวาทิต สุวรรณยิ่ง อัยการจังหวัดนาทวี ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด
1.3 นายมาโนช รัมมะสินธุ์ รองอัยการจังหวัดนาทวี ไปปฏิบัติราชการ ในสำนักงานอัยการสูด
         1.4 นายนันทวุธ อุตสาหตัน รองอัยการจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการ ในสำนักงานอัยการสูด
         1.5 นายทรงวุฒิ โชติมา อุตสาหกรรมจังหวัดสมุททรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดหระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม
        1.6 นางสาวรัตนา พละชัย แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดหระทรวง กระทรวงแรงงาน
        1.7 พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดิ ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
        1.8 พล.ต.ต.สรไกร พูลเพิ่ม ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำนรวจแห่งชาติ
         ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ใช้ อำนาจตาม มาตรา 44 สั่งย้าย 23 ข้าราชการ ที่ถูกร้องเรียนทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ให้ไปอยู่หน่วยงานอื่น โดยให้ผู้บังคับบัญชาตั้งคณะตรวจสอบให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ศอตช แจ้งข้อมูลให้ทราบ หากผิดจริงให้ลงโทษทางวินัยและตามกฏหมายต่อไป ถ้าบริสุทธิ์ให้เยียวยา ส่งกลับตำแหน่งระดับเดิม ซึ่งทางเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ คสช ที 33/2559 เรื่องให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานในหน่วยงานอื่น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา สำคัญเร่งด่วนของประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการประปฏิบัติราชการอันเป็นแนวทางหนึ่ง ในการปฏิรูปราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังนี้
       ข้อที่ ๑ ให้ข้าราชการที่ถูกร้องเรียน หรือถูกกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลย ใ้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน หรือมีการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และมีมูลอันสมควรตรวจสอบระงับการปกิบัติราชการโดยมิขาดจากตำแหน่งเดิม และให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิมเป็นการชั่วคราวตามนัยแห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่องมาตรการแก้ปัญหารเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวดังต่อไปนี้
      ข้อ ๒ ในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น ตามข้อ ๑ ให้ผู้บังคับบัญชาของส่วนราชการเจ้าสังกัด มอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั่นตามกฏหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องและให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุ แห่งการตรวจสอบการปฏิบัติราชการของผู้นั้นให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง จากศูนย์ เพื่อควาเป็นธรรมแก่ผู้นั้น หรือเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป ในกรณีที่ไม่สมารถดำเนินการแล้วเสร็จในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้รายงานอัยกรสูงสุด หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วแต่กรณี เพื่อขยายเวลาให้ตามความจำเป็น
     ข้อ ๓ ผู้บังคับบัญชาในทุกหน่วยงานของรัฐ สอดส่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดในด้านประสิทธิภาพ สมรรถนะในการปฏิบัติราชการ  การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ในกรณีเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข แนะนำควรย้ยออกนอกพื้นที่ สับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือหากมีมูลความผิด ให้ำเนินการทางวินัย โดยคำนึงถึงการให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้น
       ขอที่ ๔ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2559 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
    1.9 พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.10 พล.ต.ต วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.11 พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.12 พ.ต.อ.ภาสกร กลั่นหวาน ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.13 พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.14 พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.15 พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.16 พ.ต.อ.อัมรินทร์ อัมพรมหา ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.17 พ.ต.อ.กิตติภณ แก้วอัมพร ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.18 พ.ต.อ. ทิฆัมพร ศรีสังข์ ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.19 พ.ต.อ. อโนทัย แสงเฟือง ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.20 พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.21 พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.22 พ.ต.ต.ทิพากร แก้วเปล่ง ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    1.23 พ.ต.ต.นันทพล ทองน่วม ไปปฏิบัติราชการยังศุนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
      ในกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความผิดตามที่ได้รับแจ้ง หรือมีความผิดประการอื่นที่เชื่อมโยงไปถึง ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยและกฏหมายต่อไป ในกรณีที่มีการกระทำผิดไม่ถึงขั้นดำเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบให้ไปดำรงตำแหน่งในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้ากระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป
    ข้อ 3 ให้ผู้บังคับบัญชาในทุกหน่วยงานของรัฐ สอดส่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด ในด้านประสิทธิภาพ สมรรถนะในการปฏิบัติราชการ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ปละการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในกรณีเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข ให้ตักเตือน แนะนำ ย้ายออกนอกพื้นที่ สับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือหากมีมูลความผิด ให้ดำเนินทางวินัย โดยคำนึงถึงให้ความเป็ฯธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้น การดูแลรักษาวินัยและกฏหมายตามอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาและการรักษาประโยชน์ของสาธารณะ
     ข้อ 4 คำสั่งนี้ใช้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
      สั่ง ณ วันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2559
                           พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
                       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
        แหล่งข่าวหลายสำนักก็ได้มการวิจารณ์ว่า น่าจะเกิดจากหลายท้องที่ ที่คดียังไม่มีความคืบหน้า ไม่ว่าจะเป็นกรณีบ่อนี่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา และเรื่องจับต่างด้าวค้าประเวณี ที่นาตาลีอาบอบนวด แล้วก็อีกเรื่องก็เรื่องการขนส่งแรงงาน และการค้าแรงงานเถื่อนชาวพม่า ที่มีอยู่มากมายที่สมุทรสาคร และก็เรื่องผู้อพยพชาโรนินยา ด้วยนั่นเอง ซึ่งก็จะต้องรอการพิสูจญ์ กันต่อไป ส่วนการย้ายหรือปรับเข้าตำแหน่งเดิมนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาคงเสร็จภายใน 30 วัน เพราะอำนาจ ม.44 ใช้ได้ทุกภาครัฐเลยทีเดียว ซึ่งประเทศไทยก็ตกเป็นประเทศหนึ่งไม่ว่าจพเรื่องการค้าแรงงานเถื่อน ทุจริตคอรับชั่น ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอดู ว่ามีข้าราชการคนไหนบ้างที่ ร่ำรวยกว่าปรกติ ซึ่งก็แน่นอน ว่าน่าจะมาก สิ่งที่ทำไม่มีกาตรวจสอบมานาน เพราะการตรวจสอบก็คนของรัฐทั้งนั้นเอง ดังนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ควรที่จะให้สวสัดิการกับผู้ปฏบัติราชการในทางสูงสุดไปเลย โดยให้มีบ้าน มีรถไว้ก่อนแล้วเงินเดือน สวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยของครอบครัว การศึกษาของบุตร และเบี้ยเลี้ยงที่จะต้องเพิ่มขึ้น เอาไว้แต่ที่มีคุณภาพจริงๆ เพราะจะได้ไม่ต้องดิ้นรนไชว่คว้ามาอีกนั่นเอง ความคิด อาหารเสริมลดน้ำหนัก ก็ขอให้ความสงบกลับคืนมาสู่ประเทศไทยโดยไว ขอเป็นอีกเสียงของความดี ที่มีอยู่บนโลก ขอให้โลกนี้มีแต่สันติสุข