เป็นข่าวใหญ่ครั้งในแวดวงสีกากี ชื่อผู้กระทำผิดเป็นถึงระดับนายพล สะเก็ดข่าวเมื่อวันก่อน ที่มีการอุ้มเพื่อที่จะเรียกค่าไถ่นักธุรกิจ ผงสายการบินและธุรกิจท่องเที่ยวไทยเชื้อสายจีน โดยที่เพิ่มได้มีการสืบทราบว่านักธุรกิจรายนี้เคยทำผิดในข้อหาปลอมแปลงบัตรประชาชนมาก่อน แก็งพลตรี และ พ.ต.ท เป็นทีม เส้นทางตำรวจท่องเที่ยวและนครบาลได้ขออนุมัติหมายจับ ทั้งหมด 10 คน แต่จับได้แล้ว 8 คนยังเหลืออีก 2 คน อยู่ระหว่างการหลบหนีการจับกุม ซึ่งแก๊งอุ้มฆ่ารายนี้เหยื่อคือนายสุรชัย แซ่ย่างเจ้าของบริษัท new gen airways บริษัทคันต้า กรุ๊ปไทยแลนด์
นายสุรชัย ให้การว่าวันที่ 14 กรกฎาคม เวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีชายฉกรรจ์แต่งชุดลายพรางทหาร 4 คน และแต่งตัวคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 5 คน เข้าไปบริษัทคันต้า เลขที่ 68 ซอยนวลจันทร์ 34 เขตกรุงเทพ โดยมี พ.ต.ท.ณัฐกฤษต์อ้างว่าเป็นตำรวจสังกัด 191 ขอตรวจค้นบริษัท เกี่ยวกับความมั่นคงโดยไม่มีหมายตรวจ จากนั้นผมคนร้ายแสดงเอกสารทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชนปลอม จากนั้นพลาดนวดนายสุรชัยไปพบผู้บังคับบัญชา ที่ ก.ร.ม.น ดอนเมือง รถยนต์ lexus วฉ 1100 กรุงเทพมหานคร หนึ่งในนั้นซึ่งในนั้น นายโก๊ะ เต๊ก ชวน เป็นชาวสิงคโปร์เป็นคนขับรถและเป็นล่ามแปลภาษาจีน มีคนนั่งประกบซ้ายขวา ขนาดนั้นพี่ก็มีขึ้นครูบาศรีวิชัยนั้นทำผิด เจ้านายต้องการครอบครอง 20 ล้านบาท พ.ต.ท.ณัฐกฤษต์ บอกว่าจะกระจายไปจะได้จบ แต่นายสุรชัยก็ได้ตลอดจนเหลือ 2 ล้านบาท นายสุรชัยกิ่งศักดิ์ให้คนขับรถ ไปนำเงินให้นายโอภาส ศรียา ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่ถนนวิภาวดีรังสิต 1 ล้านบาท จากนั้นทั้งหมดจึงได้ปล่อยตัวนายสุรชัย มา และเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พระจิรวัฒน์เป็นคนขับรถของนายสุรชัย ได้ไปโอนเงินให้คนร้ายเพิ่มอีก 1 ล้านบาท เข้าบัญชีนายโอภาส ศรียา
แต่หลังจากนั้นนายสุรชัยก็ตัดสินใจเข้าพบกับ พล.ต.ตสุรเชษฐ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ และได้มีคำสั่งให้สืบสวนหาข้อมูลในทางลับ เนื่องจากกลุ่มผู้กระทำผิดเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่และมีนายตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง จนกระทั่งได้ข้อมูลว่ากระทำผิดจริงและได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญา จับผู้ต้องหาทั้งหมด 10 คนจับกุมได้แล้ว 8 คน อีก 2 คนที่ยังหลบหนีอยู่คือ นายอุทิศ ก่อแก้ว นายฐิติกร ชื่นอุรา ซึ่งคาดว่า ขณะนี้อยู่ที่ภาคใต้ของไทย จากกรณีดังกล่าว ก็มีสายข่าวในกระแสระบุว่า แก๊งนี้ได้ทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ช่วยเลือกเหยื่อที่เป็นนักธุรกิจชาวจีน ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย โดยมีข้อมูลความผิดอยู่แล้ว แล้วก็นำตัวมาเรียกทรัพย์ ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็ทำมาแล้วหลายๆราย ล่าสุดเสียเงินไป 7 แสนบาท ผู้เสียหายส่วนใหญ่ ก็ไม่กล้าที่จะมาเรียกร้อง เพราะผู้กระทำผิด มีอำนาจตำแหน่งใหญ่โต กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับความปลอดภัยด้วย แต่ตอนนี้ ก็ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติมแต่อย่างใด การจัดทำแบบนี้ทำให้เสื่อมเสียของวงการราชการไทย และเสื่อมเสียต่อประเทศชาติมาก เพราะผู้พิทักสันติราษฎร์ ทำผิดเสียเอง การกรรโชกทรัพย์เรียกค่าไถ่ ถือว่าเป็นคดี่ร้ายแรง และเมื่อเป็นข้าราชการก็ต้องรับโทษเป็นหลายเท่า เพราะถือว่าเป็นผู้รู้ และทางเจ้าหน้าที่ ก็ได้แจ้งข้อหาเพิ่ม เป็นอั้งยี่และซ่องโจร แล้วด้วยนะคะ